ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ฉันมักเขียนความคิดออกมาเป็นรูปภาพ มันไม่สวยหรือว่าวิเศษจนใครต้องกล่าวถึงมัน ไม่ถึงขนาดต้องใส่กรอบติดมันไว้ที่ผนังของบ้าน แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันยินดีที่จะทำมันออกมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดจากการเลียนแบบ การจดจำ และความฝัน
ไม่รู้ว่าเกิดการผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหน ฉันหยุดการวาดภาพกะทันหันโดยไม่เอะใจ ไม่ทักท้วงและไม่ทวงถามจนวันนี้ ในวันที่เวลาวัยเด็กตีกลับ ภาพความหลังและกิจกรรมที่เคยคุ้นย้อนมา ฉันถามตัวเองว่า “ยังวาดรูปได้หรือเปล่า”
ฉันลองหยิบปากกา วาดรูปดอกไม้อย่างง่ายๆ รูปร่างแบบที่เคยวาดตอนนั้น ฉันเขินขัดที่จะบอกว่านี่มันคือดอกไม้ หากแต่ในใจยืนยันหนักแน่น “ใช่ นี่แหละดอกไม้”
ฉันเริ่มเป็นคนซับซ้อนและควานหาตรรกะสารพัดจากสิ่งรอบข้าง ไม่เว้นแต่ตัวเองว่า ดอกไม้นั่นคือดอกอะไร
ฉันชินมาตลอดกับการวาดภาพคนแบบการ์ตูน โดยที่ไม่เคยบอกว่า เขาคือใคร ทำงานอะไร ชอบอะไร และวาดทำไม ฉันเคยวาดต้นไม้ที่มีฟอร์มยิกยัก บนแกนที่มีกิ่งก้าน มันคือต้นไม้ แล้วต้นอะไรล่ะ ฉันเริ่มค้นหาตัวเอง ระบบความคิดที่ชักชวนให้ทบทวนว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดของฉัน เป็นได้แต่เพียงสัญลักษณ์เท่านั้นหรือ
มีนักเขียนคนหนึ่ง ถามกับฉันว่า “จะต้องการอะไรกับโลกนักหรือ จะมีสักครั้งไหมที่ดูหนังโดยไม่เอาอะไรมากกว่าความสนุก แค่จบมัน ผ่านมัน”
ฉันแย้งตลอดเวลาที่เขาพูด ฉันแค่อยากได้รับ ได้รับอะไรก็ได้จากการเสพที่ช่วยให้ได้คิด สร้างสรรค์ต่อ แต่สุดท้ายฉันก็เริ่มตกใจว่า แท้ที่จริงแล้ว การควานหาอะไรต่อมิอะไรรอบตัวนั้น มันง่ายกว่า การควานหาสาระ และความคิดฝันของตัวเองเสียอีก
ฉันอยากจะวาดภาพดอกไม้สักดอก ดอกที่ทำให้ความสุขเกิดขึ้นในใจ แม้มันจะเป็นเพียงรูปร่างยิกยัก สักห้าหกแฉก มีก้านและใบรีๆ ให้มีสักทุ่ง มันน่าจะพอให้ความคิดที่วุ่นวายได้เบิกบานและแย้มยิ้ม
การปลดปล่อยตัวเอง ฉันว่ามันยากกว่าการผละปล่อยจากสิ่งที่เราเอาตัวเขาไปสวมรัด การปลดปล่อยให้หัวใจได้มีอิสระ สงบและนิ่งเฉย มันยากนะ สำหรับผู้หญิงที่มีหัวใจยุกยิกอย่างฉัน
วันนี้ตลอดทั้งวัน บรรยากาศ เหมือนสีควันไฟหุงข้าวด้วยเตาฟืน กลิ่นของมันมีรสหวาน และชื่นจมูก
ที่อยู่ของความคิด(ถึง)ของฉันอาจไม่ใช่สมองอีกแล้ว หากแต่เป็นในดวงใจเล็กๆ ที่ไม่หวังตรรกะอะไรมากมาย อีก เพื่อฉันจะได้วาดดอกไม้โดยไม่รู้พันธุ์ต่อไป ต่อไป
เท่านั้น.